นักวิเคราะห์ประเมินจีนเปิดประเทศดันเศรษฐกิจไทยโต 3.4% จับตากำแพงภาษีกดดันส่งออกไม่สดใส

 

SCB EIC ชี้จีนเปิดประเทศ ช่วยท่องเที่ยว โรงแรม คืนชีพ สร้าง GDP ไทยโต 3.4% จับตาการส่งออกเผชิญความท้าทาย หลังพบกำแพงภาษีเพิ่ม ชี้อาจเติบโตแค่ 1.2%

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ประเมิน การเติบโตเศรษฐกิจโลกปี 2566 มีแนวโน้มชะลอตัวมากจากปีก่อน แต่ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอยน้อยลง จาก 3 ปัจจัยหลัก 1.ผลกระทบจากวิกฤติพลังงานในกลุ่มประเทศยุโรปน้อยกว่าคาด จากสภาพอากาศฤดูหนาวที่ไม่รุนแรงมากและราคาพลังงานโลกลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับอัตราการว่างงานที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

2.จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด เพราะประชากรมีภูมิคุ้มกันมากขึ้นหลังผ่านการระบาดรุนแรงในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งจะช่วยให้ตั้งแต่ไตรมาส 2 กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น 3.ทิศทางเงินเฟ้อโลกเริ่มชะลอตัวชัดเจนขึ้น ทำให้ทิศทางเศรษฐกิจโลกดีขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการกลับมาใช้มาตรคุมเข้มโควิดในจีนหากเกิดการระบาดอีกระลอก

นักวิเคราะห์ประเมินจีนเปิดประเทศดันเศรษฐกิจไทยโต 3.4% จับตากำแพงภาษีกดดันส่งออกไม่สดใส
ส่วนเศรษฐกิจไทย SCB คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง 3.4% แรงส่งสำคัญมาจากภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน อีกทั้งประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวยอดนิยม จะทำให้ปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนไทยประมาณ 28.3 ล้านคน โดยจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน อาจทำให้การท่องเที่ยวในประเทศเติบโตดีดกลับไปใกล้ระดับก่อนเกิดโควิด เพราะการบริโภคขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม สายการบิน บริษัททัวร์ รถเช่า การแพทย์ รวมถึงเอื้อให้การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติขยายตัวมากขึ้น

ขณะที่การส่งออกสินค้าของไทยในปี 2566 มีแนวโน้มไม่สดใสนักตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงมากภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น และอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการจัดเก็บภาษีนำเข้าใหม่ของประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ ยุโรป (เช่น กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า) และอินเดีย ซึ่งจะเริ่มมีผลบางส่วนตั้งแต่ปีนี้ และคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าไทยจะขยายตัวเพียง 1.2% ในปีนี้

อย่างไรก็ตามแม้การเปิดประเทศของจีนจะช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคเอกชนกลับมาคึกคักช่วยดึง GDP ประเทศให้เติบโตขึ้น แต่การคาดการณ์เงินเฟ้อในปี 2566 ยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายที่ 3.2% โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปีจากราคาพลังงานในประเทศและราคาอาหารที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานเร่งขึ้นจาก 2.5% ในปี 2565 เป็น 2.7% รายได้ครัวเรือนบางกลุ่มจึงโตไม่ทันรายจ่ายประกอบกับเศรษฐกิจอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นซ้ำเติมภาระค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังต้องจับตาการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ เพราะอาจกระทบเสถียรภาพการเมืองไทย และส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของไทยได้.

ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath.co.th

สามารถอัพเดตข่าวสารเรื่องราวต่างๆได้ที่ : new-scarlet.com